ช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา ผมก็มีโอกาสได้ดูแลแคมเปญ Influencers Marketing ให้กับแบรนด์สินค้า โดยที่ช่วงแรกๆ ก็จะมีปัญหาอยู่ครับว่า จะเลือก Influencers เจ้าไหนมาใช้ในแคมเปญดี ซึ่งกว่าจะได้ Influencers มาแต่ละแคมเปญ ก็กินเวลาและใช้พลังสมองผมไปเยอะเลย
แต่พอทำไปได้ซักพัก ผมก็พอจะจับทางได้ครับว่า จะต้องเลือก Influencers มาใช้ในแคมเปญยังไง ให้ได้ผลลัพธ์ที่ออกมาโอเค และผมทำงานได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
และพอผมมี วิธีเลือก Influencers ที่จะมาใช้ในแคมเปญการตลาด มาเป็นไกด์ไลน์ในการทำงาน ก็ทำให้แคมเปญหลังๆ ผมทำงานได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น และก็รวมไปถึง สามารถที่จะพูดคุยกับเจ้านายได้มีหลักการมากขึ้นอีกด้วยครับ
ซึ่งผมก็คิดว่า น่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่มีปัญหาเหมือนกัน ไม่มากก็น้อย ก็เอาข้อมูลมาแบ่งปันกัน ซึ่ง วิธีเลือก Influencers ที่ว่า จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลยครับ
1. Influencers สามารถทำงานได้ตรงกับโจทย์ของงานหรือไม่
เริ่มจากแบรนด์เอง จะต้องมีโจทย์ก่อนว่า ต้องการให้ Influencers ช่วยให้เกิดผลลัพธ์อะไรขึ้นในการทำแคมเปญการตลาด เช่น อยากจะให้เกิด “Awareness” กับสินค้าหรือบริการของเรา หรือ อยากจะ Inform ข้อมูลบางอย่างของสินค้าหรือบริการออกไป
ซึ่งถ้าเป็น 2 จุดประสงค์นี้ ก็ต้อง Influencers สาย “Content Creator” ซึ่ง Influencers สายนี้ จะเก่งในเรื่อง Creative เรื่องราวที่จะส่ง Message ไปยังกลุ่มผู้ชมครับ
แต่ถ้าแบรนด์ต้องการให้เกิด “Trust” ให้กับสินค้าหรือบริการ ก็ต้องใช้ Influencers สาย “เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน” ที่อยู่ในอุตสาหกรรมของสินค้าหรือบริการนั้น
เพราะ Influencers กลุ่มนี้สามารถที่จะ “โน้มน้าว หรือ ชักจุง” กลุ่มแฟนของตัวเองได้
2. ฐานแฟน Influencers ใช่กลุ่มเป้าหมายเราหรือไม่
เราอาจจะลองเช็คเองแบบง่ายๆ จากลักษณะคอนเท้นต์ปกติที่ Influencers ทำออกมา และคอมเม้นต์ของคอนเท้นต์นั้นๆ ซึ่งเราก็จะได้ข้อมูลแบบคร่าวๆ ครับว่า กลุ่มแฟนของ Influencers มี Demographic เป็นยังไง และมี Interest แบบไหนครับ
3. ภาพลักษณ์ของ Influencers เหมาะกับแบรนด์หรือไม่
เมื่อ Influencers มาทำการตลาดให้กับแบรนด์ เรื่องของภาพลักษณ์ของ Influencers ก็จะส่งผลมายังแบรนด์ด้วยเหมือนกัน เพราะถือว่าเป็นตัวแทนของแบรนด์ที่ถูกเลือกมาทำงาน (ในความคิดผมนะ) ถ้าแบรนด์ต้องการที่จะสร้างภาพลักษณ์ที่มีความน่าเชื่อถือ แต่กลับใช้ Influencers ที่มีภาพลักษณ์ของความ Dark มากๆ ความ Dark ก็จะส่งผลมายังแบรนด์ด้วยเหมือนกัน
4. การเล่าเรื่องของ Influencers เหมาะสมกับ Platform หรือไม่
ยกตัวอย่าง การเขียนบทความลงใน Facebook เชิงเนื้อหาสาระมากๆ ที่ต้องใช้เวลาอ่าน 5-6 นาทีขึ้นไป ผมว่าโอกาสที่คนอ่านจะอ่านจบมีน้อย ถ้า Influencers คนนั้น ไม่ใช่คนที่เขียนบทความเก่งมากๆ
ทางที่ดีก็น่าจะเป็นการเขียนบทความลงในเว็บไซต์ และเอาลิ้งค์มาแชร์ในเว็บไซต์ โดยเขียนแคปชั่นดีๆ ชวนให้คนกดอ่าน
ซึ่งข้อดีในเว็บไซต์อีกอย่างก็คือ สามารถที่จะดูค่าสถิติต่างๆ ในหน้าเพจบทความหน้านั้น ทั้ง User Amount หรือ Avg.Duration Page เป็นต้น
5. KPI ที่จะส่งมอบผลลัพธ์ให้เรา มันตรงกับโจทย์ของงานที่เราต้องการหรือไม่
ยกตัวอย่างนะครับ แบรนด์ต้องการได้ Interest / Consideration จากแคมเปญ โดยใช้ Blogger ซึ่ง KPI ที่ใช้ในแคมเปญก็น่าจะเป็น Traffic หรือ Avg.Duration Page ของเว็บไซต์ มากกว่าจะเป็น Reach หรือ Engagement ของ Facebook
6. ราคาพอรับได้หรือไม่
ถ้าเป็นเรื่องของราคา ก็จะไม่พ้นเรื่องการเปรียบเทียบครับ แต่เราจะเปรียบเทียบ โดยดูตัวเลขบรรทัดสุดท้ายของใบเสนอราคาของ Influencers แต่ละรายเลย ก็ไม่น่าจะได้ คงจะต้องดูในรายละเอียดของราคาว่ามีค่าใช้จ่ายของเนื้่องานอะไรบ้าง
ซึ่งส่วนใหญ่ที่ผม สิ่งที่ผมดูก็จะมีอยู่ประมาณ 3 ข้อ คือ
- ประเภทของ Production Cost คือดูว่า การจัดทำเนื้อหา ยากง่ายแค่ไหน ผลิตเป็นวีดีโอ รูปภาพ หรือเขียนบทความ ซึ่งแต่ละอย่างต้นทุนก็จะต่างกันครับ
- ต้นทุนต่อหน่วยของตัวเลขที่เกี่ยวกับ KPI เช่น ต้นทุนต่อ Reach, Impression, Click, View เป็นต้น
- งบยิงโฆษณา ส่วนใหญ่ถ้ามีเรื่องของ Facebook เข้ามาเกี่ยวข้อง Influencers ก็จะรวมงบยิงโฆษณามาให้
ทีนี้ พอเราได้แยกรายละเอียดของราคาออกมาแล้ว ก็ทำให้เห็นภาพรวมของราคา ซึ่งก็สามารถเปรียบเทียบ Influencers แต่ละเจ้าได้แล้วครับ
7. Influencers น่าทำงานด้วยหรือไม่
เรื่อง Influencers น่าทำงานด้วยหรือเปล่า จะเป็นมุมที่ว่า Influencers มีความยืดหยุ่นในการทำงานร่วมกับแบรนด์มากน้อยแค่ไหน เพราะเวลาทำงานจริง ฝั่งแบรนด์จะมีเรื่องให้ Influencers ช่วยปรับแก้อย่างแน่นอน ซึ่งถ้า Influencers มีความยืดหยุ่นมาก คนทำงานฝั่งแบรนด์ก็จะทำงานง่ายขึ้น
แล้วแบรนด์จะรู้ได้ไงว่า Influencers คนไหนทำงานเป็นยังไง คนไหนน่าทำงานด้วย หรือไม่น่าทำงานด้วย… อันนี้ถาม Agency ได้เลยครับ รู้แน่นอน
และทั้งหมดที่ผมได้พูดถึงไป สำหรับวิธีเลือก Influencers มาใช้ในแคมเปญการตลาด ก็เป็นแค่แนวคิดส่วนตัวนะครับ ซึ่งใครจะเอาไปปรับใช้ ก็ยินดีครับ หรือถ้ามีแนวทางอื่นที่น่าสนใจ ก็แชร์กลับมาให้ผมรู้ด้วยนะครับ จะขอบคุณเป็นอย่างยิ่งเลย 😀