เดี๋ยวนี้ การลงโฆษณาออนไลน์ ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปแล้วครับ ทั้ง Facebook เอง Google เอง ก็มีแหล่งให้เรียนรู้อยู่เต็มไปหมด และด้วยตัวแพลตฟอร์มเอง ก็มีการพัฒนาให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ
แต่สิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจกันเพิ่มเติม สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ก็คือ”การวัดผลความคุ้มค่าของโฆษณา” เพราะช่วยให้เราเลือกตัดสินใจได้ว่า เราควรจะเลือกเพิ่มหรือลดเงินโฆษณาที่ตรงไหน เพื่อให้ได้กำไรสูงสุด
และการวัดผลความคุ้มค่านี้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรครับ แค่นำตัวเลข 2-3 ชุด มากดเครื่องคิดเลขก็ได้ผลลัพธ์แล้ว
โดยการวัดผลความคุ้มค่าของโฆษณาออนไลน์ มีให้เลือกคิด 2 แบบครับ ROI กับ ROAS ซึ่งมีความแตกต่างกันนิดนึง ขึ้นอยู่กับว่า เราจะเลือกเห็นข้อมูลแบบไหน
1. ROI – Return of Investment (บอกถึง “กำไรคิดเป็นกี่ % ของเงินค่าโฆษณา”)
น่าจะคุ้นหูกันบ้างนะครับ สำหรับคนทำงานสายการเงิน การลงทุน โดยวิธีคิดแบบ ROI จะนำเอา “(ยอดขายที่ได้จากการโฆษณา ลบ เงินค่าโฆษณา) / เงินค่าโฆษณา X 100
ตัวอย่างเช่น
ยอดขายสบู่ 50,000 บาท
เงินค่าโฆษณา 2,000 บาท
ROI = (50,000 – 2,000) / 2,000 x 100 = 2,400%
* กำไรคิดเป็น 24 เท่าของเงินค่าโฆษณา
2. ROAS – Return on Ads Spending (บอกถึง “เงินคืนกลับมาคิดเป็นกี่ % รวมเงินค่าโฆษณา”)
ROAS เป็นวิธีคิดของ Google เพราะ Google มองว่า ROI ยังไม่สามารถตอบ”ความคุ้มค่า”ให้กับกิจการได้ซะทีเดียว เพราะยังไม่รวม”ต้นทุน”ในด้านอื่นของกิจการไปด้วย ดังนั้นถ้าจะอธิบายว่า โฆษณาตัวไหนทำเงินกลับมาได้ดีกว่า ก็น่าจะต้องใช้ ROAS ครับ
วิธีคิด (รายได้ / เงินค่าโฆษณา) x 100
ตัวอย่าง
ยอดขายสบู่ 50,000 บาท
เงินค่าโฆษณา 2,000 บาท
ROAS = (50,000 / 2,000) x 100 = 2,500%
* เงินคืนกลับมาคิดเป็น 25 เท่า รวมเงินค่าโฆษณา
จะเห็นว่า วิธีคิดทั้ง 2 แบบ ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากเลย การนำไปใช้ ก็ขึ้นอยู่กับว่า สะดวกที่จะเอาตัวเลขไปใช้งานต่อแบบไหน ซึ่งถ้าเข้าใจในหลักวิธีคิด ผมว่าผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่ต่างกันครับ