หนึ่งใน”สูตรสำเร็จ”ที่เหล่าองค์กรต่างๆ มักจะหยิบมาใช้ เพื่อให้ได้ทีมงานที่ประสบความสำเร็จสูงสุด นั่นก็คือ “การรวมคนเก่งๆไว้ในทีม” และ Google เองก็เคยคิดแบบนี้เหมือนกัน
แน่นอน! ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ต้องสร้างด้วยทีม แต่ความสำเร็จนั้นต้องมาจากทีมที่มีคนเก่งๆหรือเปล่า … อันนี้ไม่แน่ครับ
ไม่ต้องเป็นถึงบริษัทใหญ่ๆหรอกครับ เป็นแค่กลุ่มคนทำงานเล็กๆ ที่รวมตัวกัน 2-3 คน ก็ยังต้องหาคำตอบเลยว่า”ทำอย่างไรให้ทีมทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด”
ในหนังสือ Smarter Faster Better เขียนโดย Charles Duhigg โดยในบทหนึ่งของหนังสือ มีการศึกษาว่า”อะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทีมงานทำผลงานออกมาได้ดีที่สุด”
โดยในการศึกษานี้ ได้เก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลจากทีมงานต่างๆ ทั้งจาก ทีมรายการทีวีชื่อดัง Saturday Night Show ที่ออกอากาศยืนยาวถึง 40 ปี, โรงพยายาบาล, โรงงานและบริษัทเทคโนโลยี รวมถึง ทีมงานของบริษัท Google
โดยข้อมูลที่รวบรวมได้ ก็พบปัจจัยในด้านต่างๆ ทั้ง ลักษณะผู้นำของทีม, วัฒนธรรมการทำงานร่วมกัน, ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมของคนในทีม รวมไปถึงระดับความสามารถของคนในทีม
และสิ่งที่สรุปออกมาได้ว่า อะไรเป็นตัวกำหนดประสิทธิภาพสูงสุดของทีม นั่นก็คือ “การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางจิตใจ”
การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางจิตใจ มีการพูดถึงอยู่ 2 เรื่องหลักๆ คือ “การมีสิทธิ์มีเสียงอย่างเท่าเทียมกัน”และ”การมีความไวต่อความรู้สึกผู้อื่น”
ถ้าเป็นในมุมของผมแล้ว ความหมายของ “วัฒนธรรมความปลอดภัยทางจิตใจ” ก็คือ การส่งเสริมให้คนในทีม ได้แสดงออกถึงความเป็นตัวตนออกมาอย่างเสมอภาคกัน โดยอาจแสดงออกผ่านการนำเสนอไอเดีย ให้ความเห็น หรือ การวิจารณ์ แต่ยังอยู่บนพื้นฐาน การเห็นอกเห็นใจคนอื่น การยอมรับซึ่งกันและกัน การให้เกียรติกัน การถนอมน้ำใจกัน และสุดท้ายสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับทุกคนในทีม คือ ความรู้สึกปลอดภัยและภูมิใจในตัวเอง
จากไอเดียของหนังสือ ก็มีรูปแบบพฤติกรรมที่เราสามารถนำมาใช้ในทีมงานได้หลากหลายครับ เช่น การไม่ขัดจังหวะการพูดของคนอื่น, การทวนสรุปสิ่งที่คนอื่นพูด, คนในทีมต้องได้พูดทุกคนและพูดในปริมาณที่พอๆกัน, การปล่อยให้คนในทีมที่เกิดความไม่สบายใจได้ระบายความรู้สึก, การยกย่องความสำเร็จของคนอื่นในทีมอย่างจริงใจ
หรือจะออกแบบรูปแบบพฤติกรรมอื่นก็ได้ครับ ที่สุดท้ายแล้ว เป็นการส่งเสริมให้คนในทีมเกิด “ความรู้สึกปลอดภัยและความภูมิใจในตัวเอง”