ทุกๆเว็บไซต์ที่เจ้าของธุรกิจทำขึ้นมา ก็หวังจะให้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทางการตลาด ให้สินค้าบริการได้ ขายดิบขายดี ซึ่งก็คาดหวังให้เว็บไซต์ที่ทำมา แสดงประสิทธิภาพอย่างเต็มพิกัด แต่ด้วยตัวเว็บไซต์เองอย่างเดียว ทำไม่ได้อย่างนั้นนะซิ
เวลาวางแผนใช้งานเว็บไซต์ ก็จะมีคำ 3 คำที่มาเกี่ยวข้องด้วย ก็คือ “คุณภาพ, ปริมาณ และการจัดการ” ด้วยตัวเว็บไซต์เอง มันไม่สามารถที่จะบอกได้ว่า การพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้น ต้องทำไปทิศทางไหน อย่างไร ดังนั้นจึงต้องมีเครื่องมือบางอย่างเข้ามาช่วย โดยเครื่องมือที่ว่านี้ ก็เป็นของดีจาก Google ซึ่งใครที่อยากจะให้เว็บไซต์ของตัวเองออกรบชนะใจลูกค้า จะพลาดไม่ได้เลย
เริ่มกันเลย
1. ดูคุณภาพด้วย Google Analytics

เว็บไซต์ก็เหมือน “บ้าน” ถ้าบ้านถูกออกแบบมาได้ถูกใจคนอยู่ ทำให้เกิด “ประสบการณ์ที่ดี” คนอยู่ก็จะมีความรู้สึก “อยากจะอยู่บ้านนานๆ เวลาออกไปไหนก็อยากที่จะกลับบ้านเร็วๆ” ซึ่ง Google Analytics นี่แหละที่จะเป็นตัวบอกเราว่า เว็บไซต์ของเรา สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้อย่างไร ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น คนเข้าเว็บไซต์ครั้งนึงเปิดดูเฉลี่ยจำนวนกี่หน้า หรือ แต่ละครั้งใช้เวลาในเว็บไซต์นานเท่าไหร่
หรือในมุมการลงทุน Google Analytics ยังบอกได้อีกว่า การทำการตลาดออนไลน์กลยุทธ์ไหน ที่คุ้มค่าน่าลงทุนมากกว่ากัน
2. หาปริมาณด้วย Google Search Console

พอมีเว็บไซต์ ถ้าในเว็บไซต์มีเนื้อหาอยู่ประมาณนึง ก็น่าจะมีคนเข้าเว็บผ่าน Google อยู่บ้าง ถึงแม้ไม่ได้ตั้งใจทำ SEO ก็ตาม (มาแบบ Organic คือไม่ได้จ่ายตังค์ลงโฆษณา) แต่เมื่อไหร่ที่ตั้งใจจะทำ SEO แล้ว Google Search Console ก็จะเป็นตัวขยี้สถิติ คุณภาพของ “ปริมาณ” คนเข้าเว็บผ่าน Google ได้อย่างดี ตัวอย่างเช่น คนเข้ามาจาก Keyword อะไร, แต่ละ Keyword แสดงผลกี่ครั้ง และกดคลิกเข้ามาในเว็บไซต์เท่าไหร่ ซึ่งจะเหมาะมากสำหรับคนที่ต้องการจะลงทุน ลงแรง กับการทำ SEO อย่างจริงจัง
3. จัดการเว็บด้วย Google Tag Manager

เดี๋ยวนี้ลูกเล่น หรือเครื่องมือในการทำการตลาดออนไลน์ ที่ต้องมาเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์มีเพียบ นับสิบยี่สิบตัว อย่างเครื่องมือ 2 ตัวแรกที่พูดถึงไป ทั้ง Google Analytics และ Google Search Console โดยเวลาที่จะใช้งาน ก็จะต้อง “ติดตั้ง” เข้ากับเว็บไซต์ ขั้นตอนนี้แหละ ที่ต้องอาศัยทักษะ “เข้าใจวิธีการ” อยู่ซักหน่อย ถ้าเว็บไซต์ที่เจ้าของไม่ได้ทำเอง ก็ต้องให้คนที่ทำเว็บไซต์ให้ เป็นคนติดตั้ง และอะไรที่เราไม่ได้ทำเอง ก็จะเจอปัญหาที่ว่า “ไม่ทันใจ” และนี่แหละที่ Google Tag Manager จะเข้ามาเป็นซูเปอร์ฮีโร่ช่วยให้เรา “จัดการ” ติดตั้งเครื่องมือต่างๆได้เอง
และที่แนะนำไปทั้ง 3 เครื่องมือ ต้องบอกเลยว่า “Must Have” เพราะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ต่อเว็บไซต์มาก แถมยังเป็นของฟรีอีกด้วย และถึงแม้ตอนใช้งานจริง ถ้าใครที่ยังไม่เคยใช้ อาจจะใช้เวลาเรียนรู้อยู่ซักหน่อย โดยในครั้งต่อไป ก็จะเอาเครื่องมือแต่ละตัวมา Review ให้ได้เห็นคร่าหน้าคร่าตากันครับ