การมีชื่อแบรนด์ ชื่อสินค้าหรือบริการ ที่ดูเก๋ไม่เหมือนใคร น่าจะเป็นสิ่งแรกของเจ้าของธุรกิจ ที่ต้องการจะตั้งชื่อให้กับสินค้า บริการหรือแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งก็น่าจะเห็นตัวอย่างมาจากชื่อแบรนด์ใหญ่ๆ อย่าง Nike, Apple, Amazon, Ikea และนี่เองอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเสียงบประมาณการตลาด(มหาศาล) ที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในอนาคต
ถ้าว่ากันด้วยหลักการทำให้ลูกค้ามี “ประสบการณ์ที่ดี” ที่มุ่งเน้นหลีกเลี่ยงการทำให้ลูกค้ารู้สึก”สับสน” การมีชื่อแบรนด์, สินค้าหรือบริการ ที่ลูกค้าไม่เข้าใจว่าคืออะไรหรือทำอะไรตั้งแต่ที่แรกที่ได้รับรู้ ดูจะสวนทางกับหลักการนี้ เพราะเมื่อลูกค้าต้องใช้พลังสมองในการตีความ ก็เริ่มสะสม”ประสบการณ์ที่ไม่ดี” และเมื่อถึงจุดหนึ่ง ลูกค้าก็จะเริ่มตีตัวออกห่าง ไปหาแบรนด์,สินค้าหรือบริการ ที่ลูกค้ารู้สึกสบายใจกว่า และนี่เองที่เป็นเหตุผลที่ทำให้แบรนด์ใหญ่ๆ ที่ยกตัวอย่างมาตอนแรก ต้องจัดงบประมาณการตลาดมหาศาลในการสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายว่า “พวกเขาคือใครและทำอะไร” คำถามก็คือ บริษัทเล็กๆ บริษัท SME พร้อมที่จัดสรรงบประมาณเหล่านี้เหมือนบริษัทใหญ่ๆ หรือเปล่า?
สิ่งเดียวที่จะช่วยไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ก็คือ “ความชัดเจน” ต้องตั้งชื่อให้มีความชัดเจนในชื่อแบรนด์, สินค้าหรือบริการ ที่ลูกค้าเมื่ออ่านหรือฟังแล้ว เข้าใจได้ว่าแบรนด์เป็นใคร ทำอะไร ได้ทันที
ตัวอย่างเช่น ชื่ออาหารสำหรับเป็นกับแกล้มให้กับวงเหล้า ที่มีส่วนประกอบเป็น ถั่วลิสง, ตะไคร้, กุ้งแห้ง ไม่ควรตั้งชื่อเป็น “ไก่ 3 อย่าง” เพราะในอาหารไม่มีส่วนประกอบของไก่เลย
อีกเหตุผลนึงที่ควรพิจารณาการตั้งชื่อแบรนด์,สินค้าหรือบริการให้ดีตั้งแต่แรก เพราะเมื่อนานไปความผูกพันธ์ที่เกิดขึ้นกับสิ่งที่เราเป็นเจ้าของก็จะเกิดขึ้น และนั่นอาจจะทำให้การเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขบางอย่างจะเกิดขึ้นได้ยากครับ
Source: The 1-Page Marketing Plan / Allan Dib